retrofityourworld.com

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีชื่อเต็มว่า มุฮัมมัด เศาะลาห์ ฮามิด มะห์รูส ฆอลี เขาเกิดในเมืองแนกริก ประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1992 โดยชีวิตในวัยเด็กของ ซาลาห์ ไม่ได้มีความสุขสบายมากนัก ด้วยพื้นฐานทางครอบครัวของเขาที่เรียกว่าเป็นชนชั้นปานกลาง ความสุขในวัยเด็กของ ซาลาห์ นั้นก็คือ การได้เล่นฟุตบอล นั่นเอง เวลาผ่านไป ซาลาห์ เริ่มหลงรักฟุตบอลแบบจริงจัง ด้วยการติดตามดูการถ่ายทอดสดฟุตบอล และมีไอดอลเป็นนักเตะระดับโลกหลายคนเช่น ซีนาดีน ซีดาน ,ฟรานเชสโก ต๊อตติ และมักจะจินตนาการว่าเขาเป็นนักเตะระดับโลกเหล่านั้น

และแล้ว เส้นทางของการเป็นนักฟุตบอลของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยการเข้าไปเล่นกับทีมท้องถิ่นในบ้านเกิดของเขา และด้วยฝีเท้าที่ฉายแววเจิดจรัสของซาลาห์ ที่สามารถเลี้ยงหลบผู้แข่งครั้งละ 2-3 คนได้อย่างสบายๆ ทำให้ เด็กชายซาลาห์ ในวัย 12 ปี ตกเป็นเป้าหมายของทีมต่างเมืองคว้าตัวเขาไปร่วมทีม และหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็เป็นนักเตะที่มีผลงานโดดเด่นเหนือกว่าเพื่อนร่วมทีม ซึ่งก็เป็นผลมาจากความตั้งใจในการเรียนรู้ ทักษะ เทคนิคต่างๆ รวมถึงพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวของเขาด้วย ทำให้ ซาลาห์ เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้คนที่จะต้องจับตามองฟอร์มการเล่นของเขาอย่างไม่ละสายตา

และแล้วในที่ 2010 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ได้เข้าไปร่วมทีม เอล โมคารุน ซึ่งเป็นสโมสรในลีกสูงสุดของอียิปต์ โดย ซาลาห์ ได้ย้ายไปร่วมทีมเยาวชนของที่นั่น และอุปสรรคของการเป็นนักเตะของเขาในครั้งนี้ก็คือ ระยะทางการเดินทางของเขาเนื่องจากสนามฝึกซ้อมอยู่ในกรุงไคโร ซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านของเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งในแต่ละวัน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะต้องใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับกว่า 8 ชั่วโมง ทุก 5 วันต่อสัปดาห์ และเขายังต้องต่อรถอีกหลายต่อกว่าจะถึงสนามฝึกซ้อม ในช่วงแรก ซาลาห์ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากเขาถูกจับลงเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาไม่ถนัด ด้วยความมุ่งมั่นของเขา ทำให้ ซาลาห์ ยังคงมุ่งมั่นเพื่อสิ่งที่เขารักอย่างไม่ย่อท้อ และมีเกมหนึ่งที่เขาลงเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้าย เขามีโอกาสเข้าไปทำประตูได้ถึง 5 ครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาสามารถจบสกอร์ให้กับทีมได้ จนสุดท้ายทีมของเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งไป ซึ่งภายหลังจบเกม ซาลาห์  รู้สึกผิดหวังกับผลงานของตัวเองจนถึงกับหลั่งน้ำตา และหลังจากเกมในวันนั้นทำให้โค้ชได้เห็นแววบางอย่างในตัว ซาลาห์  หลังจากวันนั้น ซาลาห์ ก็ได้ขยับขึ้นไปเล่นเกมรุกแบบเต็มตัว และมันทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไป เขากลายมาเป็นคนสำคัญในทีมที่ช่วยทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ในที่สุดหลังจากนั้นใน 2 ปีถัดมา  ซาลาห์ ก็ได้ขึ้นมาติดในทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ โดยเขาสามารถทำประตูได้ 11 ประตูจากการลงสนาม 38 นัด และหลังจากนั้นเขาก็ได้ถูกคว้าตัวไปค้าแข้งกับ บาเซิล ทีมดังในสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2012 ซึ่งในตอนนั้นเขามีอายุ 20 ปี ผลจากการย้ายทีมมาค้าแข้งในยุโรปครั้งแรกของเขา ทำให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ รวมถึงเพื่อนร่วมทีม และการฝึกซ้อมที่เขาไม่คุ้นเคย รวมถึงภาษา ที่เขาต้องเรียนรู้ ซึ่งทำให้ ซาลาห์ ไม่สามารถปรับตัวได้ในช่วงแรก จึงต้องไปเริ่มต้นกับทีมสำรอง

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความพยายาม และความมุ่งมั่นของเขา ที่ขยันฝึกซ้อม เพื่อพัฒนาฟอร์มการเล่นของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ซาลาห์ ก็สามารถเข้ามาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ แต่ก็ใช้เวลานานกว่าที่เขาจะได้ลงสนาม ซึ่งเกมแรกที่เขาได้โอกาสลงสนามคือเกมที่ บาเซิล เอาชนะ ธูน 3-1 และ นักเตะรายนี้ ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในลีก และในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จนไปเข้าตาของ สโมสรเชลซี ทีมดังแห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และในปี 2014 เชลซี ก็ได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มาร่วมทีม ด้วยการเสนอค่าตัว 11 ล้านปอนด์ และมีการตกลงเซ็นสัญญา 5 ปีครึ่ง โดยซาลาห์ได้สวมเสื้อหมายเลข 15 และเขากลายเป็นนักเตะชาวอียิปต์คนแรกของเชลซี

แต่เส้นทางการค้าแข้งในสโมสรเชลซี ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อภายในทีมของเชลซี มีบรรดานักเตะที่ยอดเยี่ยมอยู่หลายคน ยากที่จะสอดแทรกเข้าไปเป็นตัวจริงได้ อย่างเช่นเชส ฟาเบรกาส ,เนมานย่า มาติช , ออสการ์, จอห์น โอบี มิเกล และ เอเดน อาซาร์

โดยในฤดูกาลแรก ซาลาห์ มีโอกาสในลงสนามเพียง 13 ครั้งเท่านั้น ทำให้ ซาลาห์ คิดที่จะย้ายทีมเพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้ลงสนามมากขึ้น และเขาก็ได้ย้ายไปร่วมทีม ฟิออเรนติน่า ทีมดังในกัลโช่ เซเรีย อา แต่ ซาลาห์ ก็อยู่กับ ฟิออเรนติน่าเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะตัวเขาต้องการที่จะย้ายไป โรม่า ทีมร่วมลีก ด้วยสัญญายืมตัว ซึ่งที่นี่ ซาลาห์ ระเบิดฟอร์มได้อย่างร้อนแรง  จากการลงสนาม 42 นัดในทุกรายการ เขาทำไป 15 ประตู 7 แอสซิสต์ ทำให้เขากลายมาเป็นตัวหลักที่ โรม่า ขาดไม่ได้ จนทำให้ โรม่า ตัดสินใจซื้อขาด ด้วยราคาค่าตัว 15 ล้านปอนด์

และแล้ว ด้วยความสามารถอันล้นหลามของเขา ทำให้ ซาลาห์ ได้กลับมาค้าแข้งยังพรีเมียร์ลีก อีกครั้ง เมื่อ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล เกิดไปสะดุดตาฟอร์มการเล่นของซาลาห์เข้า

ในปี 2017 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้ตกลงย้ายมาค้าแข้งยังพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ด้วยการร่วมทีมกับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 42 ล้านปอนด์ และเพียงฤดูกาลเดียว ซาลาห์ ก็แสดงศักยภาพของเขาให้ทุกคนได้เห็น เมื่อเขาลงเล่นไป 52 นัด เขาสามารถยิงประตูไปได้ถึง 44 ประตู และ 16 แอสซิสต์ ติดอันดับดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกทันที และในฤดูกาลนั้น ลิเวอร์พูลจบอยู่ในอันดับ 4 ของตารางพรีเมียร์ลีก และพาทีมเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แม้ว่าจะได้เพียงรองแชมป์ก็ตาม

ในปี 2018 ซาลาห์ ยังคงทำผลงานอันยอดเยี่ยมได้เช่นเคย ด้วยการทำ 27 ประตู 12 แอสซิสต์ จาก 52 เกมของทุกรายการ และจบด้วยอันดับรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก และในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาครองได้สำเร็จ

ในปี 2020 หลังจากที่ต้องหยุดแข่งไปเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ลิเวอร์พูล ก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ และเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 30 ปีอีกด้วยโดยในฤดูกาลนี้ ซาลาห์ ยิงไปได้ 23 ประตู 13 แอสซิสต์ จากการลงสนามทั้งหมด 48 นัด

สำหรับผลงานในทีมชาติ ซาลาห์ ลงเล่นให้กับทีมชาติอียิปต์ ตั้งแต่ชุดอายุไม่เกิน 20 ปี และไต่ขึ้นมาเล่นในชุดไม่เกิน 23 ปี และทีมชาติชุดใหญ่ โดยเขาลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก เมื่อปี 2011 ในตอนที่เขามีอายุ 19 ปี ซึ่งเขาเป็นนักเตะที่ติดทีมชุดใหญ่ก่อนติดทีมชุดโอลิมปิกเสียอีก โดย ซาลาห์ เล่นให้กับทีมชาติอียิปต์มาแล้ว 64 นัด ยิงประตูไป 41 ประตู โดยเคยพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ในศึกแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ เมื่อปี 2017 แต่ได้เพียงรองแชมป์  และซาลาห์ ยังเป็นนักเตะที่ทำประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนแอฟริกา 2018

ทั้งนี้จากผลงานของซาลาห์ ทำให้เขาได้ถูกขนานนามว่าเป็นแนวรุกที่อยู่ในระดับต้นๆ ของโลกในปัจจุบัน และยังได้รับการขนานนามว่า เดอะฟาโรห์ หรือ คิง ออฟ อียิปต์ ซึ่ง ซาลาห์ กลายเป็นคนสำคัญที่เด็กๆ ชาวอียิปต์ยึดถือเป็นแบบอย่าง ด้วยการวางตัวได้ดีในฐานะนักเตะชาวมุสลิม และไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย นอกจากนี้ ชาวอียิปต์มองว่า ซาลาห์ คือความสุขของผู้คนในอียิปต์ และเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของอียิปต์ในยุคใหม่ เป็นตัวแทนที่ทำให้คนในยุโรปรู้จักอียิปต์มากขึ้น